วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

กระรอกดิน แพรี่ ด็อก เห็นศัตรู เสียงเห่าเหมือน สุนัข



แพรี่ ด็อก


กระรอกดิน "แพรี่ ด็อก" เห็นศัตรู เสียงเห่าเหมือนสุนัข (ไทยรัฐ)


           ปัจจุบันบ้านเรามีสัตว์นำเข้ามาหลายชนิด เพื่อสนองต่อความต้องการกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์แปลก จนแทบกลายเป็นแหล่งศูนย์รวมจากทั่วโลกก็ว่าได้ แหล่งศูนย์รวมที่บรรดานักเลี้ยงจะรู้กันดีหนีไม่พ้น "ตลาดซันเดย์" สวนจตุจักรเรานี่เอง มีทั้ง สัตว์เลื้อยคลาน เลือดอุ่น เลือดเย็น กลุ่มฟันแทะ อย่างกระรอก กระแต ในจำนวนนี้ก็มี แพรี่ ด็อก รวมอยู่ด้วย

           ...มีรายงานว่าตั้งแต่ปี'47 ทางประเทศสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ได้สั่งห้ามนำเข้าหรือจำหน่ายสัตว์ชนิดนี้อย่างเด็ดขาด หลังพบว่า "แพรี่ ด็อก" และ "หนูแกมเบียน" เป็นตัวพาหะนำเชื้อโรค "ฝีดาษลิง" และแม้จะ มีข้อมูลดังกล่าวออกมา แต่มันก็ยังอยู่ในความสนใจของกลุ่มวัยรุ่นและผู้ที่ชอบเลี้ยงสัตว์แปลก

           "แพรี่ ด็อก" (Prairie dog) หรือที่บางคนเรียกว่า "กระรอกหมา" เพราะเวลา ถ้ามันเห็นว่ามีศัตรูมาเยือน จะส่งเสียงเห่าคล้ายสุนัข มีถิ่นกำเนิดที่ทุ่งหญ้าแพรี่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ บ้างก็ว่าแท้จริงแล้วถิ่นเดิมมันอยู่ที่ทวีปแอฟริกา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลฟันแทะเช่นเดียวกับพวกกระรอก หนูตะเภา แฮมสเตอร์ 


แพรี่ ด็อก
แพรี่ ด็อก

           และ...ด้วยเพราะดวงตาที่โต ฟัน แข็งแรง รูปหน้ามีส่วนคล้ายกระรอกในบ้านเรา เล็บแหลมคม ขาคู่หน้าแข็งแรง ทำหน้าที่ขุดคุ้ยดิน และจับอาหาร ขนสีน้ำตาลทองนิ่ม หาง ยาว 3-4 นิ้ว มีลักษณะเด่นก็คือปลายหางมีสีดำเป็นเอกลักษณ์ ขนรุงรังสีน้ำตาลทอง หูสั้น เท้ามีสีครีม ขนาดตัวไม่ใหญ่ โตเต็มที่น้ำหนักประมาณ 1-2 กิโล หน้าตาน่ารัก มีความ ซุกซน แสนรู้ เป็นรองจากหมา แมว เฟอเรต จึงทำให้มันได้รับความสนใจ กระทั่งกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงแก้เหงาของมนุษย์...

           "แพรี่ ด็อก" มักอาศัยอยู่เป็นฝูงตัวผู้ 1 ตัว/ตัวเมียประมาณ 4 ตัว พร้อมเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 1 ปี ตัวเมียใช้เวลาตั้งท้อง 28-32 วัน ตกลูกครอกละประมาณ 4-5 ตัว/ปี ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน สมาชิกใหม่ช่วงวัย อ่อนยังไม่ลืมตาและไม่มีขนขึ้น กระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 ดวงตาจึงเริ่มเปิด พวกมันมีความอยากรู้อยากเห็น จนต้องปีนป่ายออกมาสู่โลกภายนอกเพื่อเรียนรู้การมีชีวิตบนดิน

           ...ในวันว่างมันมักออกมาทักทายหมู่เพื่อนในฝูง ซึ่งเวลาที่เจอกันครั้งแรกจะทักทายกันด้วยการ "ยิงฟัน" แล้ว "แตะ" กัน ซึ่งบางคนมองว่าอาการดังกล่าวเหมือนกับคนเราที่ "จูบ" กัน จากนั้นก็จะช่วยกันทำความสะอาดขนให้กันและกัน หรือไม่ก็ขุดรูใต้ดินทั้งเพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยและอาหารจำพวกต้น รากรวมทั้งเมล็ดพืชกิน ส่วนการมีชีวิตของพวกมัน จากข้อมูลพบว่าตัวเมียจะอายุยืน 8 ปี ส่วนตัวผู้เฉลี่ยที่ 5 ปี 

           สำหรับใครที่สนใจอยากมีไว้เป็นเพื่อนต้องถามใจตัวเองก่อนว่า สามารถดูแลมันกระทั่งลมหายใจสุดท้ายในชีวิตของมันได้หรือเปล่า ถ้า "เบื่อง่าย หน่ายเร็ว" แล้วปล่อยให้มันออกมาเพ่นพ่านอย่าง "อิสระเสรีไร้ พรมแดน" ซักวันพวกมันอาจกลายเป็นศัตรูทางการเกษตร ที่บ้านเราก็มีมากเกินพอแล้ว

เฟอเรท เจ้าขนฟูแสนซน






เฟอเรท เจ้าขนฟูแสนซน คนเลี้ยงไทยเพาะพันธุ์ได้เอง (เทคโนโลยีชาวบ้าน)

          ประโยชน์ของการใช้อินเตอร์เน็ต นอกจากการค้นคว้าหาความรู้และข่าวสารต่างๆ แล้ว ยังนำมาสู่การพบปะกันระหว่างคนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน อย่างเช่น ในเว็บไซต์ www. thailandferret.co.cc การรวมตัวในโลกออนไลน์ของกลุ่มคนรักสัตว์แสนซน ที่ชื่อ "เฟอเรท" (Ferret)

          เฟอเรท อาจเป็นสัตว์เลี้ยงที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคยนัก แต่สำหรับคนรักสัตว์กลุ่มนี้ เฟอเรท คือสัตว์เลี้ยงแสนซนที่ซ่อนความน่ารักไว้ในตัว มีเสน่ห์ทั้งในรูปร่างที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่อง ลำตัวยาว หน้าตาจิ้มลิ้ม มีสีหลากหลาย อาทิ ซิลเวอร์ ไลท์ซิลเวอร์ แพนด้า ชินเนมอล แฟนซี อัลบิโน ฯลฯ แถมยังมีท่าทางขี้สงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา สนใจสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ แต่สามารถจับเล่นและกอดอุ้มได้

          "จุดเด่นของเฟอเรทคือ ลักษณะนิสัยและรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างน่ารัก คล้ายแมว ถ้าฝึกมันก็จะเชื่อง จะสั่งให้มันเล่นหรือนอนหมอบก็พอจะทำได้ในระดับหนึ่ง แต่คงไม่ฉลาดเหมือนหมาหรือแมว สามารถฝึกให้คุ้นเคยได้โดยใช้อาหารล่อ แต่คนเลี้ยงต้องใช้ความอดทนสูง เพราะมันจะติดเล่น เหมือนเด็กเล็กๆ ซนๆ เล่นกับมัน ฝึกกับมันสักพักมันก็จะเริ่มเบื่อ ไม่สนใจ จะไปเล่นอย่างอื่น ใครเลี้ยงก็ต้องอดทนกับมันหน่อย บางตัวห่วงเล่นจนไม่ยอมนอน ง่วงตาปรือแล้วยังจะห่วงเล่น"

          คุณดามพ์ แสงหิรัญ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อธิบายถึงความแสนซนขี้เล่นของเฟอเรทอันเป็นสิ่ง ดึงดูดให้เขาตัดสินใจเลี้ยงไว้ในบ้าน และเป็นเหตุผลที่ไม่ต่างจากสมาชิกผู้เลี้ยงคนอื่นๆ ซึ่งมีทั้งวัยรุ่นที่กำลังศึกษา และคนวัยทำงานที่อยู่ในหลายจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง รวมถึงคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศก็เลี้ยงเฟอเรทเช่นกัน

          แต่หากย้อนกลับถึงความเป็นมา เฟอเรท นับเป็นสัตว์ต่างถิ่นที่มีแหล่งกำเนิดทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ในอดีตเมืองไทยพบเห็นได้เพียงตามสวนสัตว์ แต่ระยะหลังราว 6-7 ปี ที่ผ่านมา มีการนำเข้าจากต่างประเทศที่มีการพัฒนาสายพันธุ์เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น มาจำหน่ายยังตลาดสัตว์เลี้ยงในราคาหลายพันบาท แต่ในช่วงนั้น เฟอเรทไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้นิยมเลี้ยงสัตว์ต่างถิ่นเท่าที่ควร เนื่องจากเฟอเรทเป็นสัตว์ในตระกูล Pole Cat หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกลิ่นเฉพาะเช่นเดียวกับ มิงค์ ชะมด นาก ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีต่อมกลิ่นสำหรับการสื่อสาร ป้องกันตัว หรือแสดงอาณาเขต กลิ่นสาบของเฟอเรทจึงเป็นเรื่องขัดใจของหลายๆ คน ที่ถึงแม้จะสนใจรูปร่างหน้าตาของมันแค่ไหนก็ตาม

          "เฟอเรท มีข้อเสียเรื่องกลิ่น แต่เป็นกลิ่นตัว กลิ่นเฉพาะของมันที่จะปล่อยในช่วงตกใจ ตื่นเต้น หรือผสมพันธุ์ เรื่องกลิ่นนี้ผู้เลี้ยงต้องยอมรับ แต่ในเวลาปกติก็ไม่ส่งกลิ่นมาก ถ้าหมั่นเช็ดตัวก็จะช่วยบรรเทากลิ่นไปได้ ใช้น้ำยาช่วยลดกลิ่นสำหรับเฟอเรทก็ได้หรือจะใช้ผ้าเช็ดตัวสำหรับแมวหรือ สุนัข การทำหมันก็เป็นการลดกลิ่นได้อีกวิธีหนึ่ง จึงอาจมีส่วนทำให้เฟอเรทไม่เป็นที่นิยมและไม่ค่อยมีการแพร่พันธุ์ แต่มีข้อดีคือ มันสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพอากาศบ้านเรา" คุณดามพ์ เสริม

          แต่สำหรับสมาชิกคนรักเฟอเรทกลุ่มนี้ เรื่องกลิ่นดูเป็นเรื่องจิ๊บๆ เพราะเข้าใจและยอมรับในธรรมชาติของสัตว์ อีกทั้งพวกเขายังพยายามศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จนนำมาสู่การเผยแพร่และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันในเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งเปิดเผยวิธีการลดกลิ่นสาบของเฟอเรทไว้ว่า ควรอาบน้ำไม่เกินเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยเลือกใช้แชมพูสำหรับสัตว์เล็กหรือสำหรับเฟอเรทโดยเฉพาะ เพราะถ้าหากผิวแห้ง เฟอเรทก็จะสร้างน้ำมันมาเคลือบผิว ซึ่งทำให้เฟอเรทมีกลิ่นหม็นมากยิ่งขึ้น หรือใช้เพียงผ้าเช็ดอนามัยสำหรับสัตว์เลี้ยงก็พอ โดยหมั่นเช็ดตามตัว บริเวณท้อง โคนหาง จะช่วยลดกลิ่นได้ รวมถึงการใส่ผ้าในกรงที่ช่วยซับกลิ่นในกรงทุกวัน ใช้แป้งสำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กโรยตัว ที่สำคัญคือ การรักษาความสะอาดในกรงและการเลือกที่ตั้งกรงเลี้ยงเฟอเรทในบริเวณที่อากาศ ถ่ายเทได้สะดวก

          ส่วนการเลี้ยงเฟอเรทขั้นเบื้องต้น ควรเตรียมกรงที่มีความแข็งแรง ไม่เป็นสนิมง่าย และมีพื้นที่มากพอให้มันได้ปีนป่ายเล่น มีภาชนะสำหรับอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด แนะนำให้ใช้ถ้วยกระเบื้องหรือชามดินเผาที่ค่อนข้างหนัก (เฟอเรท ชอบดื่มน้ำจากในชามมากกว่าดื่มน้ำจากตัวดูดน้ำที่ติดข้างกรง) หมั่นเปลี่ยนน้ำและอาหารทุกวัน ส่วนห้องน้ำสำหรับเฟอเรทนั้นผู้เลี้ยงสามารถใช้กระบะทรายที่ใช้เป็นห้องน้ำ สำหรับแมวหรือกระต่ายวางไว้ในกรงก็ได้ เพื่อฝึกให้เฟอเรทขับถ่ายเป็นที่

          ที่นอนสำหรับเฟอเรท ผู้เลี้ยงนิยมใช้เบาะนอนของสุนัขหรือแมว อาจใช้เปลของเฟอเรทหรือใช้ผ้าปูในกรงก็ได้ แต่ต้องหมั่นซักทำความสะอาดและตากแดดอยู่เสมอเพื่อบรรเทากลิ่น อย่าลืมวางลูกปิงปอง ลูกกอล์ฟ หรือ ท่อน้ำชนิดแข็ง หรือของเล่นสำหรับสุนัขและแมวที่ทนต่อการกัดแทะไว้ในกรงเพื่อเป็นของเล่นให้ เจ้าแสนซนด้วย ซึ่งภาพถ่ายจากบรรดาสมาชิกที่นำภาพมาอวดโฉมกันนั้นเห็นชัดถึงความน่ารักของ เฟอเรทได้อย่างดี ส่วนใหญ่เฟอเรทจะสวมบทบาทเจ้าขนฟูที่ซุกซนอยู่ในบ้าน บางรายเลี้ยงจนคุ้นเคย สามารถฝึกเข้ากับสายจูงแล้วพาไปเที่ยวเตร่ข้างนอกกลายเป็นสัตว์เลี้ยงพกพาไป อีกแบบ แต่ต้องระมัดระวังอันตรายจากสัตว์ชนิดอื่นพอสมควร

          สมาชิกบางคนเลี้ยงเฟอเรทมานานหลายปีจนสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้เอง อย่างเช่น คุณวิรุตม์ โสติผล หรือ คุณกานต์ หนุ่มเชียงใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากเลี้ยงเฟอเรทมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็รอจนโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตสัตว์เลี้ยงได้ จึงสามารถเลี้ยงเฟอเรทจนถึงปัจจุบัน โดยศึกษาข้อมูลจากชุมชนออนไลน์และเว็บไซต์ต่างประเทศ ซึ่งมีผู้เลี้ยงเฟอเรทอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มแรกเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน กลุ่มที่สองคือ เลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ เป็นชาวไร่ชาวนาที่เลี้ยงไว้จับนกจับหนู ส่วนอีกกลุ่มเลี้ยงเพื่อใช้ทำขนเสื้อ นอกจากนี้ ยังมีชมรม AFA (American Ferret Association) ของสหรัฐอเมริกา เป็นมูลนิธิให้การช่วยเหลือเฟอเรทที่ถูกทอดทิ้ง

          "แต่บ้านเรายังไม่ แพร่หลายมากนัก เพราะเฟอเรทส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จะทำหมันมาแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ทำหมันมันก็จะมีความเสี่ยงเรื่องฮอร์โมนเป็นพิษ อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพ บางคนก็เลี้ยงไม่ถูกวิธี บางคนเลี้ยงได้นานแต่ก็ไม่มีลูก ผสมไม่ติด ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าแปลก ตอนนี้หากมองในแง่เชิงพาณิชย์สำหรับเฟอเรทก็ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่ เพราะผู้เลี้ยงในเมืองไทยยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะปัญหาด้านสุขภาพ และกลุ่มผู้เลี้ยงที่ยังไม่กว้างขวางมาก ยังเพาะพันธุ์ได้น้อย โดยเฟอเรทนำเข้า ปัจจุบันอยู่ที่ตัวละ 4,500-8,500 บาท ถ้าเป็นลูกเพาะในไทย จะเริ่ม 4,000-6,000 บาท ซึ่งมีข้อได้เปรียยบด้านสุขภาพมากกว่า เพราะเกิดในเขตร้อน มีการปรับตัวตั้งแต่เด็ก"

          ด้วยใจรัก คุณกานต์จึงสนใจเรื่องสุขภาพเฟอเรทเป็นพิเศษ โดยเริ่มจากการนำเข้าเฟอเรทจากประเทศฮอล์แลนด์ซึ่งไม่ถูกทำหมันมาก่อนมา เลี้ยงเล่น จากนั้นก็เสาะหาเฟอเรทที่เกิดในไทย ซึ่งหาได้ยากมาเลี้ยงเพิ่ม ผ่านไป 5 ปี น้องๆ เฟอเรทของเขาจะออกลูกหลานมาให้ชื่นใจ

          "เฟอรเรท สามารถผสมพันธุ์ข้ามคู่ ข้ามสี ได้ โดยมีช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมจะเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ หลังจากผสมแล้วไข่จะตกภายใน 30-40 ชั่วโมง ถ้าอยากให้ได้ผลที่แน่นอน ควรให้เวลาอยู่รวมกันอย่างน้อย 10 วัน จากนั้นให้แยกตัวผู้หรือตัวเมีย ไม่เช่นนั้นอาจจะหลุด เพราะเล่นกันเอง หลังจากนั้น ถ้าตัวเมียท้องจะเห็นความแตกต่างราว 2-3 สัปดาห์ต่อมา คือท้องใหญ่ขึ้น เห็นราวนมชัดขึ้น เฟอเรทตั้งท้อง 40-50 วัน มีลูกปีละ 1-2 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ในไทยจะเกิดลูกเพียงปีละครั้ง ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับอากาศร้อน ถ้าเป็นเมืองนอกอากาศเย็นจะผสมพันธุ์ได้ดีกว่า จำนวนลูก 1-12 ตัว โดยเฉลี่ย 6-7 ตัว ต่อครอก

          ในช่วง 30 วัน หลังคลอด แม่เฟอเรทจะดูแลลูกเองทุกอย่างและหวงลูกมาก หลังจากนั้น ฟันลูกเฟอเรทจะเริ่มขึ้นและสามารถหากินตามแม่เฟอเรทได้" คุณกานต์ เผยเทคนิคการขยายพันธุ์

          ยังมีรายละเอียดและข้อคำนึงในการเลี้ยงเฟอเรทที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจอีกมาก ก่อนตัดสินใจเลี้ยงแนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากสมาชิกคนรักเจ้าแสนซน กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ ได้ที่ www.thailandferret.co.cc

          อ่อ...เกือบ ลืมเรื่องอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงสัตว์ สำหรับเฟอเรทคุณกานต์แนะนำให้ใช้อาหารแมวชนิดเม็ด เกรดคุณภาพ ควรมีเนื้อสัตว์ต้มสุกชิ้นเล็กๆ เสริมด้วย เนื่องจากเฟอเรทเป็นสัตว์กินเนื้อต้องการโปรตีนสูงมาก (อาหารสำเร็จที่ใช้ควรมีโปรตีนตั้งแต่ 36% - 40% ไขมัน 20% และกากไม่ควรมากกว่า 3%) แต่ไม่ควรให้อาหารที่มีส่วนผสมของแป้ง นม และน้ำตาล หรือผัก เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหารของเฟอเรท

ชินชิล่า หนูน้อยจอมซน

ชินชิล่า

ชินชิล่า

ชินชิล่า


          หากเอ่ยชื่อ เจ้าชินชิล่า หลายคนคงส่ายหัว หรือพาลคิดว่าเป็นเจ้าเหมียวสายพันธุ์เปอร์เซีย แต่ที่เราพูดถึงกันอยู่นี้คือ หนูชินชิล่า (Chinchilla) สัตว์เลี้ยงชนิดใหม่ในประเทศไทยที่มาแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีใบหน้าอันน่ารัก (คล้ายกับกระต่ายผสมหนู) กับขนปุกปุยอ่อนนุ่มเหมาะที่จะกอดและอุ้มเป็นที่สุด

         ทั้งนี้ ชินชิล่า เป็นสัตว์เลี้ยงเมืองหนาว อยู่ในสัตว์จำพวกฟันแทะ ชินชิล่า เป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน รักสงบ มีถิ่นอาศัยดั้งเดิมอยู่บริเวณที่ราบสูงในทวีปอเมริกาใต้ แถบเทือกเขาคีรีมอนจาโร ประเทศอาร์เจนติน่า บราซิล และชิลี ลักษณะเฉพาะของเจ้าหนู ชินชิล่า คือมีนิสัยซุกซน อยากรู้อยากเห็น เป็นหนูสะอาดไม่มีกลิ่นตัว ชอบกระโดดสูง  ๆ ขาหน้าสั้น สามารถใช้จับและแกะเปลือกอาหารได้ มีใบหูที่เป็นเอกลักษณ์ หางเป็นพวงและชอบยืน 2  ขา อีกด้วย

 การเลี้ยง ชินชิล่า


ชินชิล่า


          ใครที่คิดจะเลี้ยง ชินชิล่า จะดีมากหากคุณเลี้ยงมันไว้ในห้องแอร์ เพราะโดยธรรมชาติ ชินชิล่า เป็นสัตว์เมืองหนาว อย่างไรก็ตาม ชินชิล่า สามารถปรับตัวให้อยู่ในห้องที่ไม่ต้องเปิดแอร์ได้ แต่จะต้องไม่ร้อนจนเกินไป ส่วนเรื่องราคาของชินชิล่าจะขึ้นอยู่ที่สี มีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น สีที่เป็นที่นิยม ได้แก่ สแตนดาร์ด เกรย์ ซึ่งเป็นสีพื้นฐานที่นิยมทั่วไป และยังมีสีพิเศษอีกจะเป็นพวกขาวตาแดง (ขาวทั้งตัว) , สีโมเสด, สีอีโมนี่(ดำทั้งตัว) , สีพวกไวโอเล็ต และพิ้งค์ นี่เป็นสีพวกนี้ราคาสูงขึ้นตามลำดับ

          สำหรับการทำความสะอาดตัวของชินชิล่า ห้ามอาบน้ำเด็ดขาด ให้ใช้ทรายขี้เถ้าภูเขาไฟสำหรับชินชิล่าโดยเฉพาะ โดยการนำขี้เถ้าภูเขาไฟใส่โหลแก้ว หรือถาด แล้วใส่ไว้ในกรง ชินชิล่า จะลงไปคลุกทำความสะอาดตัวเอง แค่นี้ ชินชิล่า ก็จะขนฟูน่ารักแล้ว

 อาหารของเจ้า ชินชิล่า

          ชินชิล่า เป็นสัตว์ที่กินน้อย เพราะมาจากเขตที่แห้งแล้งบนเทือกเขาสูง กินเพียงหญ้าแห้งและเมล็ดพืช ดังนั้น เราจึงไม่ควรให้อาหารมากเกินไป แนะนำว่าควรให้อาหารสำเร็จรูปของชินชิล่า 2 ช้อนโต๊ะต่อวันหรือ 1/3 ถ้วย สำหรับตัวโตเต็มวัย ร่วมกับการให้หญ้าแห้งควบคู่ไปด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมดาหรือแบบอัดแท่งก็ได้

          นอกจากนี้ อาจจะให้ผลไม้หรือผักสดชิ้นเล็ก ๆ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยระบบย่อย เช่น แอปเปิ้ล แต่ไม่ควรให้ กะหล่ำปลี ข้าวโพด หรือผักกาด เพราะผักเหล่านี้มีแก๊สซี่งอาจจะทำให้ชิลชิล่าตายได้

           อาหารเม็ด ผู้เลี้ยงสามารถหาซื้ออาหารเมล็ดได้จากร้านขายอาหารสัตว์ทั่วไป อาหารเม็ดของชินชิล่าประกอบด้วย เมล็ดข้าวสาลี หญ้าแห้งอัลฟาฟ่า ข้าวโอ๊ด กากน้ำตาล ถั่วเหลือง วิตามินและแร่ธาตุ

           หญ้าแห้ง หญ้าแห้งมีไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อชินชิล่า 

เม่นแคระ

เม่นแคระ

เม่นแคระ

 ปัจจุบันมีสัตว์มากมายหลายชนิดเข้ามาเพิ่มทางเลือกให้กับคนรักสัตว์รุ่นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ดังนั้น สัตว์เลี้ยงของพวกจึงต้องมีวิธีการเลี้ยงไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องการพื้นที่มากนัก แตกต่างไปจากสัตว์เลี้ยงพื้นฐาน เช่น สุนัข หรือแมว และหนึ่งในสัตว์เลี้ยงหน้าใหม่ที่ก้าวเข้ามาแบ่งปันความรักจากคนเลี้ยงสัตว์ไปไม่น้อยก็ได้แก่ เม่นแคระ หรือ African pygmy hedgehog 

           เม่นแคระ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีหนามแหลมทั่วลำตัว แต่สามารถจับสัมผัสได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกสลัดขนใส่หากจับอย่างถูกวิธี และมันไม่ต้องการการดูแลมากนัก อีกทั้งยังมีเสน่ห์เฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมการขดตัวม้วนกลมอันเป็นเอกลักษณ์น่ารักโดดเด่น ซึ่งเป็นการป้องกันตัวเองจากศัตรูนั่นเอง 

อุปนิสัยของ เม่นแคระ

            เม่นแคระ เป็นสัตว์สันโดษ ชอบอยู่ตัวเดียว และหวงถิ่น ดังนั้น ไม่แนะนำให้เลี้ยงรวมกัน ไม่เช่นนั้น เม่นแคระ อาจกัดกัดจนเสียชีวิตได้ หากเลี้ยงมากกว่า 1 ตัว ต้องแยกพื้นที่ในการเลี้ยงดูออกจากกันอย่างชัดเจน 

            เม่นแคระ จะตื่นในเวลากลางคืน และนอนตอนกลางวัน กิจกรรมทุกอย่างจึงถูกกระทำตลอดคืน เช่น เดินไปมาในกล่อง ยกถ้วยอาหารเล่น กัดกินอาหาร กินน้ำจากขวด ฯลฯ 

            เม่นแคระ ไม่ใช่สัตว์ที่มีนิสียชอบมาคลอเคลียกับผู้เลี้ยง และมันก็ไม่ฉลาดเหมือนสัตว์เลี้ยงยอดนิยมอื่น ๆ เช่น กระต่าย หรือแก๊สบี้ 

            เม่นแคระ ที่มีขนแหลม ๆ ทั่วตัวนั้น อาจทำให้มือของคุณบาดเจ็บได้ หากจับไม่ถูกวิธี หรือทำให้เขาตกใจ หรือเม่นไม่มีความคุ้นเคยกับคุณ

            เม่นแคระ มักจะกัดและเคี้ยววัตถุหรือสิ่งของแปลก ๆ ที่มันไม่กลิ่น จนเกิดเป็นฟองน้ำลาย แล้วนำฟองน้ำลายมาแปะติดไว้ตามตัว เพื่อจดจำกลิ่น หรือปรับตัวเองให้มีกลิ่นเหมือนสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยตามปกติ ดังนั้น ผู้เลี้ยงจึงควรระมัดระวังอย่าให้ เม่นแคระ ไปกัด หรือเคี้ยววัตถุมีพิษ 
 
สีของเม่นแคระ  

           เม่นแคระแต่ละสีที่นิยมเลี้ยงในปัจจุบันมีหลากหลายสี โดยแต่ละสีจะเห็นเด่นชัดในช่วงวัยที่ต่างกันและไม่แน่นอน และเม่นแคระแต่ละสีนั้นก็มีราคาซื้อขายตามท้องตลาดแตกต่างกันด้วย เริ่มตั้งแต่ตัวละ 500 บาท จนถึงหลักพัน โดยสีที่ราคาสูงที่สุดคือ สีแอพริคอท ราคาตั้งแต่ 1,500-2,000 บาทขึ้นไป

            สีนอมอล-ขนหนามพาดด้วยสีดำ ผิวหนัง ตา จมูก หู มีสีดำ คล้ำ 

            สีช็อกโกแลต-หนามพาดด้วยสีน้ำตาลเข้ม หน้า ผิวหนัง จมูก หู สีน้ำตาล ตาสีดำ 

            สีบราวน์-หนามพาดด้วยสีน้ำตาลอ่อน ตาสีดำ ส่วนอื่นเป็นสีน้ำตาลอ่อน 

            สีซินเนมอน-หนามพาดด้วยสีเทาน้ำตาล หน้าขาว ผิวหนังและหูสีชมพู ตาดำ หรือดำอมแดง จมูกสีตับอ่อน 

            สีซินนิคอท-หนามพาดด้วยสีเทาอมส้ม หรือน้ำตาลอมส้ม ผิวหนัง หน้า จมูก หูมีสีชมพู ตาดำ 

            สีแอพริคอท-หนามพาดสีส้ม หน้า ผิวหนัง จมูก หู มีสีชมพู ตาสีแดงเข้ม หรือสีทับทิม 

            สีอัลบิโน่-หนามสีขาวล้วนทั้งเส้นไม่มีสีอื่นปน ตาสีแดงใส ส่วนอื่นมีสีชมพู

            เอ็กซ์-สโนว์แฟลก โดยรวมจะดูเหมือนกลุ่มสีพื้นข้างต้น แต่จะมีหนามสีขาวทั้งเส้น ขึ้นแซมอยู่ทั่วทั้งตัว ประมาณ 30-70%

            เอ็กซ์-ไวท์ โดยรวมจะดูเหมือนกลุ่มสีพื้นข้างต้น แต่จะมีหนามสีขาวทั้งเส้น ขึ้นแซมอยู่ทั่วทั้งตัวมากกว่า 95% (มักเรียกกันง่ายๆ ว่า "ขาวตาดำ") 

            เอ็กซ์-พินโต โดยรวมจะดูเหมือนกลุ่มสีพื้นข้างต้น แต่จะมีหนามสีขาวทั้งเส้น ขึ้นแซมอยู่เป็นกลุ่ม ๆ มีบริเวณ เป็นจุด ๆ

วิธีการเลี้ยงเม่นแคระ 

           สำหรับที่อยู่ของ เม่นแคระ ควรมีอุปกรณ์พื้นฐาน ได้แก่ บ้านหรือโพรงเป็นมุมมืดไว้ให้เม่นได้นอนกลางวัน, ถ้วยสำหรับใส่อาหาร, ขวดน้ำ, ขี้เลื่อยสำหรับรองพื้นกล่อง เพื่อช่วยดูดซับของเสียจากการขับถ่ายของเม่นแคระ (แนะนำให้ใช้เป็นแบบก้อนอัดแท่ง เพราะสะอาดและประหยัด), วิตามินผสมน้ำเพื่อช่วยเพิ่มเติมสารอาหารที่ขาดหายไป 

           ส่วนอาหารที่ใช้เลี้ยง เม่นแคระ แนะนำให้ใช้ อาหารแมว ไม่แนะนำให้ใช้อาหารสุนัข เพราะว่าเม็ดใหญ่กว่า และมีความแข็งมากกว่าอาหารแมว ทำให้เม่นแคระกัดกินลำบาก

           อย่างไรก็ตาม เม่นแคระ ไม่ใช่สร้างที่เลี้ยงยาก เพียงแต่นักเลี้ยงเม่นแคระ มือใหม่ ส่วนใหญ่มักเลี้ยงไม่รอด เนื่องจากซื้อลูกเม่นที่ยังไม่หย่านมมาเลี้ยง เปอร์เซ็นต์รอดชีวิตจึงต่ำมาก ซึ่งวิธีการเลือกซื้อเม่นแคระ มาเลี้ยงนั้น ให้สังเกตการเดิน โดย เม่นแคระ ที่หย่านมแล้วจะเดินได้ถนัด ไม่คลานเตาะแตะ จมูกชื้น มีสุขภาพดี  

สายพันธุ์แมว











 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

          กระแสฮิตเจ้าเหมียวสี่ขาเริ่มมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่เปิดขึ้นมาเมื่อไรเป็นต้องเจอรูปถ่ายหน้ากลม ๆ ของเจ้าเหมียว พร้อมทั้งอิริยาบถต่าง ๆ อยู่ร่ำไป แถมบางครั้งเจ้าของก็ยังบรรยายความน่ารักให้ได้อ่านกันอีกด้วย แน่นอนว่า เมื่อได้เห็นดวงตากลมโตแสนบ้องแบ๊วคู่นั้น คงอดไม่ได้ที่จะหลงรักและอยากครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ถ้าคุณคิดจะซื้อแมวมา เลี้ยงเอาไว้ที่บ้านสักตัวสองตัวแล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจจนกว่าจะได้ศึกษานิสัยใจคอของแมวสายพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงวิธีการเลี้ยงดู โดยลองเปรียบเทียบจาก 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย ดังต่อไปนี้

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

1. แมวเปอร์เซีย (Persian)

          ราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลาง ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกีกับอิหร่านในปัจจุบัน แมวเปอร์เซียถือเป็นแมวต่างประเทศสายพันธุ์แรกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย สิ่งที่ทำให้แมวสายพันธุ์นี้ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่คนรักแมวก็เพราะว่า นอกจากจะมีหน้าตาน่าเอ็นดูแล้ว ขนปุกปุยของแมวเปอร์เซียยังมีสีสันที่หลากหลาย และนิสัยส่วนตัวก็น่ารักด้วย

           ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเปอร์เซีย

          แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

          นอกจากหน้าตาที่น่ารักแล้ว ยังเป็นแมวที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีความร่าเริงซุกซน ปีนป่ายไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อหาของมากัดเล่น ช่างประจบประแจง และเป็นแมวที่มีไหวพริบมากทีเดียว

          
 การเลี้ยงดูแมวเปอร์เซีย

          เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาด โดยการแปรงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค รวมทั้งพยาธิต่าง ๆ ที่จะเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย

          ส่วนในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนไปรวมตัวกันในช่องท้อง จะทำให้แมวเปอร์เซียมีอาการสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย


10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 2. แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ (American Shorthair)

         แมวสายพันธุ์อเมริกาที่สืบเชื้อสายมาจากประเทศในแถบยุโรป และแพร่พันธุ์มายังอเมริกา เมื่อสมัยที่ชาวยุโรปเดินทางไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ โดยพวกเขาได้นำแมวอเมริกันช็อตแฮร์ ติดเรือไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้หนูทำลายข้าวของ และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในเวลาต่อมา จนกระทั่งกลายเป็นแมวพื้นเมืองขนสั้นของอเมริกาไปในที่สุด

          
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์

         สำหรับรูปร่างของแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ มีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ โครงสร้างลำตัวโต มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มองเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ใบหูมีขอบเป็นทรงกลมมน ส่วนหัวมีลักษณะรูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นสีเขียวมรกต มีลักษณะสีขน และรูปร่างมากกว่า 80 แบบ

         ส่วนอุปนิสัยของอเมริกัน ช็อตแฮร์ พบว่า เป็นแมวที่ช่างสงสัย นิสัยร่าเริง ชอบเล่น มีเสน่ห์ แต่จะฝึกค่อนข้างยาก ดังนั้นหากเป็นไปได้ เจ้าของควรจะคลุกคลีและอยู่กับแมวให้มาก ๆ

           
 การเลี้ยงดูแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์

         ปัญหาของแมวพันธุ์อเมริกันขนสั้นส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อราและเป็นหวัดง่าย ถ้าหากเจ้าของให้การดูแลไม่ดีก็จะเลี้ยงลำบาก ฉะนั้นเจ้าของควรพาแมวไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเป็นประจำ ส่วนปัญหาเรื่องขนร่วงมีน้อยมาก โดยจะร่วงเฉพาะในช่วงเวลาผลัดขนปีละ 2 ครั้งเท่านั้น

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 3. แมวสก็อตติส โฟลด์ (Scottish Fold)

          Susie เป็นแมวพันธุ์สก็อตติส โฟลด์ ตัวแรกที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1961 ที่ประเทศสก็อตแลนด์ แต่ในตอนนั้นยังไม่มีใครทราบชื่อสายพันธุ์ที่แท้จริง เนื่องจากลักษณะของ Susie มีใบหูพับ และยังมีใบหน้าที่คล้ายกับนกฮูก ซึ่งหลังจากที่ Susie ให้กำเนิดลูกแมวน้อยหูพับ 2 ตัว William Ross ชายเลี้ยงแกะ ซึ่งเป็นผู้ค้นพบคนแรกก็ได้นำลูกแมวตัวเมียไปเลี้ยง หลังจากที่ลูกแมวตัวนั้นโตขึ้น จึงนำไปผสมพันธุ์กับ บริติช ช็อตแฮร์ จนกลายเป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์นี้ และได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องที่รับรองโดย The Governing Council of the Cat Fancy ของประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1966

           
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวสก็อตติส โฟลด์

          แมวสายพันธุ์นี้แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบขนสั้นกับแบบขนยาว โดยทั้ง 2 แบบจะมีลักษณะตัวกลม หัวกลม มีช่วงคอสั้น ดวงตากลมใหญ่ และมีหูตั้งตรงขนาดกลาง ไปจนถึงหูพับขนาดเล็กที่มีมุมพับกว้าง ปลายหูส่วนใหญ่จะกลม หูของลูกแมวจะเริ่มพับในช่วง 2-3  อาทิตย์แรก จมูกสันโค้งกว้างรับกับดวงตา ซึ่งบางตัวมีปากโค้งได้รูปรับกับคางพอดี จึงเป็นที่มาของสมญานามว่า Smiling Cat หรือ แมวยิ้ม นั่นเอง

          แมวพันธุ์สก็อตติส โฟลด์ เป็นแมวที่ไม่ค่อยส่งเสียง และชอบทำกิจกรรมในระดับปานกลาง พวกมันชอบที่จะเล่น เฉพาะเวลาที่มีเจ้าของมาร่วมเล่นด้วย บางตัวอาจไม่ชอบนอนบนตัก โดยเลือกที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าของแทน

          
 การเลี้ยงดูแมวสก็อตติส โฟลด์

         การดูแลแมวสก็อตติส โฟลด์ ค่อนข้างง่าย แค่หมั่นแปรงขน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์สำหรับแบบขนสั้น แต่อาจจะต้องเพิ่มการดูแลมากขึ้นหากเลือกที่จะเลี้ยงแบบขนยาว โดยเฉพาะบริเวณใบหูของแมว ควรหมั่นทำความสะอาดบ่อยครั้ง พอ ๆ กับการแปรงขน และโดยทั่วไป แมวพันธุ์นี้ส่วนใหญ่มีร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่แล้ว จึงไม่มีเรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงนัก

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 4. แมววิเชียรมาศ (Siamese)

          แมวไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดีในชื่อ Siamese Cat หรือ แมวสยาม หนึ่งในต้นตระกูลของแมวไทยที่ถูกนำไปปรับปรุงจนเกิดแมวไทยอีกหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งตามตำนานสมุดข่อยได้กล่าวไว้ว่า หากใครได้เลี้ยงแมววิเชียรมาศ จะได้เป็นขุนนาง เพราะถือว่าแมววิเชียรมาศเป็นแมวลาภ อีกทั้งในอดีตยังเป็นแมวที่เลี้ยงกันในวังเป็นส่วนใหญ่ด้วย

           ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมววิเชียรมาศ

         เนื่องจากแมววิเชียรมาศเป็นแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้ม 9 จุดอยู่บนตัว ได้แก่ ที่ปลายเท้าทั้งสี่ ปลายหูทั้งสอง ปลายหาง บนจมูก และที่อวัยวะเพศ ดังนั้นจึงถูกคนเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่า เป็นแมวเก้าแต้ม แต่ที่จริงแล้ว แมวเก้าแต้มเป็นชื่อของแมวไทยอีกชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

         ทั้งนี้ ไม่ว่าจะนำแมววิเชียรมาศไปผสมกับแมวพันธุ์อะไรก็ตาม ก็จะได้สีแต้มตามแบบ แต่แตกต่างกันในเรื่องของรูปร่างและอุปนิสัย อีกทั้งเมื่ออายุมากขึ้น สีแต้มก็จะเข้มขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้อาจจะมีสีแต้มที่แปลกแยกออกไป เช่น แต้มสีเทา สีแดง และสีกลีบบัว

          ส่วนอุปนิสัยของแมววิเชียรมาศก็คล้ายคลึงกับแมวไทยทั่วไป คือ มีความฉลาด คล่องแคล่ว ปราดเปรียวเหมือนกับรูปร่าง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ก็สุภาพเรียบร้อย แม้ว่าภายนอกของแมววิเชียรมาศจะดูรักสันโดษ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ชอบอยู่ตามลำพัง ดังนั้นมันจึงเป็นแมวขี้อ้อน ประจบประแจงเก่ง

           
 การเลี้ยงดูแมววิเชียรมาศ

          ตอนกลางวันควรให้แมวอยู่อย่างอิสระในบ้านหรือนอกบ้านก็ได้ ตอนกลางคืนควรขังรวมกันไว้ในกรง กรงแมวต้องมีขนาดใหญ่ การเลี้ยงแมวในบ้าน แมวจะชอบขับถ่ายในที่ที่มีกลิ่นเหม็นหรือเป็นจุดอับ หากต้องการให้แมวขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ควรเตรียมกระบะทรายไว้ในบ้านด้วย แต่ที่ต้องระวังคือแมวตัวผู้ที่โตแล้ว มักจะขับถ่ายไม่เลือกที่


10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 5. แมวโคราช (Korat)

          แมวพันธุ์นี้มีชื่อเรียกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แมวมาเลศ แมวดอกเลา หรือแมวสีสวาด เป็นหนึ่งใน 17 แมวมงคลของไทย ที่ได้รับพระราชทานชื่อมาจาก สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 ตามแหล่งกำเนิดของแมวพันธุ์นี้ ซึ่งพบใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ชื่อเสียงของแมวโคราชโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากชนะเลิศงานประกวดประจำปีที่สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1966

          
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวโคราช

          ลักษณะของแมวโคราชจะมีขนเรียบ โคนขนสีเทาขุ่น ๆ ส่วนปลายขนเป็นสีเงินประกายคล้ายหยดน้ำค้างบนใบบัว หรือผมหงอก และเป็นสีเช่นนี้ตลอดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง สำหรับใบหน้าหากมองดูจากด้านหน้าจะเห็นเป็นรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่และแบน หูตั้ง ปลายหูมน โคนหูใหญ่ สำหรับแมวตัวผู้บริเวณหน้าผากจะมีรอยหยักทำให้เห็นเป็นรูปหัวใจเด่นชัดมากขึ้น ผิวหนังที่บริเวณจมูกและริมฝีปาก จะเป็นสีเงินหรือม่วงอ่อน

          
 การเลี้ยงดูแมวโคราช

          โดยปกติแล้วแมวโคราชจะมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15 ปี ซึ่งวิธีการดูแลเหมือนแมวไทยทั่วไป แต่ควรใส่ใจเรื่องการถ่ายพยาธิและการฉีดวัคซีนมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน 3 ชนิดต่อปีให้ครบถ้วน ซึ่งประกอบไปด้วย วัคซีนป้องกันหัดแมว ลูคีเมีย และพิษสุนัขบ้า

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 6. แมวขาวมณี (Khao Manee)

         สำหรับแมวขาวมณีไม่มีหลักฐานยืนยันที่มาอย่างชัดเจน รู้เพียงว่า เริ่มพบเห็นมากในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นแมวที่ติดมากับเรือสำเภาของพ่อค้าจีน ที่เลี้ยงไว้จับหนูบนเรือ แต่เนื่องจากสีขาวเป็นสีที่ดูสะอาดและเป็นสีมงคลสำหรับคนไทย ดังนั้นแมวขาวมณีจึงกลายเป็นแมวบ้านนับจากนั้นเป็นต้นมา และที่สำคัญแมวพันธุ์นี้ยังเป็นแมวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษด้วย

          
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวขาวมณี

          เอกลักษณ์ของแมวขาวมณี นอกจากจะมีขนสีขาวปลอดทั่วทั้งตัวแล้ว นัยน์ตาทั้ง 2 ข้างของแมวขาวมณียังแตกต่างไปจากแมวไทยพันธุ์อื่น โดยมีทั้งนัยน์ตาสีฟ้า สีเหลืองอำพัน และตา 2 สี ลักษณะมาตรฐานของแมวขาวมณี หัวจะต้องกลมใหญ่คล้ายรูปหัวใจ จมูกสั้น หูตั้งใหญ่ โคนหางใหญ่ แต่มีปลายแหลมชี้ตรง และต้องเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนเสน่ห์ของแมวขาวมณีนั้น นอกจากขนสีขาวเนียนสนิท มันยังเป็นแมวที่ช่างประจบประแจง ขี้อ้อน ชอบเข้ามาคลอเคลีย และจะคอยสังเกตเจ้าของตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม

          
 การเลี้ยงดูแมวขาวมณี

          ส่วนมากมักจะนิยมเลี้ยงแมวขาวมณีแบบเป็นคู่ เพื่อให้พวกมันพลัดกันเลียขนเพื่อทำความสะอาด แมวพันธุ์นี้เป็นแมวเชื่อง และเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของ จึงเหมาะกับการเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีเลยทีเดียว

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 7. แมวบริติช ช็อตแฮร์ (British Shorthair)

          แมวท้องถิ่นสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดบนเกาะอังกฤษ ซึ่งเล่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกมันมาจากแมวที่ชาวโรมันเอามาเลี้ยงเมื่อ 2,000 ปีก่อน และเป็นแมวที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศต้นกำเนิดและประเทศอื่น ๆ แถบยุโรปจนถึงยุคปัจจุบัน เนื่องจากมันเป็นแมวที่มีความเฉลียวฉลาด จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฝึกสัตว์ เพื่อใช้ในการโฆษณาทางโทรทัศน์หรือเข้าฉากในภาพยนตร์ของฮอลลีวูด

          
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวบริติช ช็อตแฮร์

         แมวบริติช ช็อตแฮร์ เป็นแมวที่มีลักษณะกะทัดรัด สมดุลดี แข็งแรง หน้าอกเต็มและกว้าง ขาสั้น อุ้งเท้ากลม หางหนาและกลม หัวกลมรับกับใบหูขนาดเล็ก คอสั้น แก้มยุ้ย คางหนา ดวงตากลมโต จมูกค่อนข้างสั้น ขนหนาและสั้น มีอายุเฉลี่ยประมาณ 15-20 ปี

         ส่วนอุปนิสัยของแมวพันธุ์นี้ค่อนข้างนิ่งสงบกว่าแมวพันธุ์อื่น ๆ เดาทางได้ง่าย เนื่องเป็นมิตรกับผู้คนรวมถึงสัตว์ชนิดอื่น ๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่ค่อยพบเห็นแมวสายพันธุ์นี้ส่งเสียงรบกวน แสดงอาการก้าวร้าว หรือทำลายสิ่งของให้เห็น

          
 การเลี้ยงดูแมวบริติช ช็อตแฮร์

         แมวบริติช ช็อตแฮร์เป็นแมวที่ดูแลง่าย แต่ควรเลี้ยงในบ้าน นอกจากนี้บริติช ช็อตแฮร์ อาจเป็นแมวที่มีพัฒนาการการเจริญเติบโตช้าอยู่สักหน่อย แต่ความสมบูรณ์และความสวยงามของมันจะอยู่คู่กับแมวไปตลอดเกือบชั่วอายุขัยเลยทีเดียว

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 8. แมวเอ็กโซติก (Exotic)
          แมวหน้าบูด จมูกหัก แต่น่ารักไม่แพ้ใคร เพราะสืบเชื้อสายมาจากแมว 2 สายพันธุ์ ระหว่างแมวเปอร์เซียกับแมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ จนกลายมาเป็นแมวเอ็กโซติก หลากหลายรูปแบบ อาทิ  Exotic Blue Tabby, Exotic Red Tabby, Exotic Cream Tabby เป็นต้น

          
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเอ็กโซติก

          ลักษณะทั่วไปของแมวเอ็กโซติกเหมือนกับแมวเปอร์เซียทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะหัวกลม กะโหลกใหญ่ ใบหูเล็กกลม จมูกหักเล็กน้อย ยกเว้นเส้นขนสั้น ๆ ที่หนานุ่มคล้ายกับกำมะหยี่ อันเป็นสัญลักษณ์ของแมวสายพันธุ์นี้

          ส่วนเรื่องอุปนิสัยก็แทบไม่มีแตกต่างจากแมวเปอร์เซียเลย เพราะแมวเอ็กโซติกเป็นแมวที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ไม่ค่อยหงุดหงิด และมีความอดทนสูง ดังนั้นคุณแทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องของแมวพันธุ์นี้แน่นอน หากมันต้องการความสนใจขึ้นมา ก็จะทำแค่นั่งอยู่หน้าคุณ กระโดดมานั่งบนตัก หรือเอาจมูกชื้น ๆ ของมันมาแตะที่หน้าคุณเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่า แมวพันธุ์เอ็กโซติกบางตัวอาจจะชอบนั่งอยู่บนไหล่และกอดคุณเวลาคุณเล่นด้วย

          
 การเลี้ยงดูแมวเอ็กโซติก

          ใครที่อยากเลี้ยงแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ แต่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลขน แมวพันธุ์เอ็กโซติกก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมันเป็นแมวที่เหมาะกับการเลี้ยงไว้ในบ้าน ที่สำคัญขนอันสวยงามของแมวพันธุ์นี้ ยังต้องการการบำรุงรักษาน้อยกว่าแมวเปอร์เซียทั่ว ๆ ไป เพราะไม่ค่อยจับตัวเป็นก้อนหรือพันกันยุ่งเหยิงอีกด้วย


10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 9. แมวเมนคูน (Main Coon)
          ถึงแม้แมวเมนคูนจะมีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าแมวปกติ แต่มันกลับเป็นพี่ใหญ่ใจดี จนได้รับสมญานามว่า Gentel Giant ชื่อของแมวสายพันธุ์นี้ มีที่มาจากรัฐเมน (Maine) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมัน ส่วนคำว่า คูน (Coon) มาจากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองที่กล่าวว่า แมวบ้านเผลอไปกุ๊กกิ๊กกับตัวแรคคูน (Raccoon) จนมีการจับ 2 คำนี้มารวมกัน กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า เมนคูน (Main Coon)

          
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเมนคูน

          ลักษณะเด่นของแมวพันธุ์เมนคูน คือ รูปร่างที่สมส่วน ดูสง่างาม และให้ความรู้สึกที่มั่นคงแข็งแรง หากเป็นแมวโตเต็มที่ ร่างกายของมันจะมีความยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหางประมาณ 1 เมตร น้ำหนักตัวอยู่ที่ประมาณ 12-15 กิโลกรัม ถึงแมวเมนคูนจะมีโครงสร้างใหญ่ ใบหน้าเหมือนกับแมวป่า มีแผงคอคล้ายสิงโต แถมบริเวณปลายหูยังมีเส้นขนงอกออกมา แต่มันกลับมีนิสัยขี้อ้อน ขี้เล่น ร่าเริง ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยเจริญพันธุ์

           
 การเลี้ยงดูแมวเมนคูน

          อายุขัยของแมวพันธุ์อยู่ที่ราว ๆ 15 ปี เหมือนแมวทั่วไป แต่เนื่องจากร่างกายที่ค่อนข้างใหญ่โต การให้อาหารแบบแมวทั่วไปอาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ดังนั้นเจ้าของควรเสริมด้วยเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้กับมัน

          ส่วนขนของแมวเมนคูนค่อนข้างหวีง่าย เนื่องจากเป็นแมวกึ่งขนยาว จึงไม่มีปัญหาขนพันกันแบบแมวเปอร์เซีย เพียงแต่ควรจะอาบน้ำให้มันอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง และหลังการอาบน้ำทุกครั้ง ควรจะเช็ดพร้อมกับเป่าขนให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันโรคเชื้อราบนผิวหนัง

10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10 สายพันธุ์แมวยอดนิยมในไทย

 10. แมวเบงกอล (Bengal)

          แมวเบงกอลเป็นแมวที่มีลวดลายสวยงาม คล้ายลูกเสือดาวตัวน้อย ๆ คาดกันว่า แมวเบงกอลเกิดจาการผสมพันธุ์ระหว่างแมวดาวกับแมวบ้านสายพันธุ์อียิปต์เชียนมัวร์ (Egyptian Mau) ซึ่งเป็นแมวอียิปต์โบราณ ที่มีโครงสร้างเป็นลายจุด ลักษณะคล้ายแมวป่า โดยถูกนำมาพัฒนาสายพันธุ์ ด้วยฝีมือของ Jean Mills หญิงสาวชาวอเมริกัน ที่หลงใหลคลั่งไคล้ในลวดลายของแมวป่า พร้อมกับตั้งชื่อของมันตามชื่อวิทยาศาสตร์ของแมวป่าที่เรียกกันว่า Felis Bengolensis

          
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวเบงกอล

          แมวเบงกอลเป็นแมวขนาดปานกลางถึงค่อนข้างใหญ่ หัวมีความยาวมากกว่าความกว้าง  เช่นเดียวกับรูปร่างที่มีลักษณะเพรียวยาว เห็นมัดกล้ามเนื้อชัดเจนคล้ายแมวป่า เมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นว่า ช่วงสะโพกมีความสูงกว่าหัวไหล่ ปลายหางชี้ลง ใบหูกลมสั้น ตารูปไข่ มีช่วงปากกับจมูกกลมกว่าแมวบ้าน และมีจุดเด่นอยู่ที่ลายขนคล้ายแมวป่า หรือที่เรียกกันว่า ลายหินอ่อน

          ถึงแม้แมวเบงกอลจะสืบสายพันธุ์มาจากแมวป่า แต่พวกมันกลับมีนิสัยน่ารักไม่ดุร้ายอย่างที่คิด แถมยังเป็นมิตรกับทุกคนเสียด้วย นอกจากนี้แมวเบงกอลยังเป็นแมวที่ซุกซน เพราะชอบวิ่งไล่สิ่งของต่าง ๆ รวมทั้งชอบปีนป่ายขึ้นที่สูงอยู่เป็นประจำ ที่สำคัญแมวพันธุ์นี้ชอบเล่นน้ำเอามาก ๆ ด้วย

          
 การเลี้ยงดูแมวเบงกอล

          การเลี้ยงดูแมวเบงกอลก็เหมือนกับการดูแลแมวทั่วไป แต่ถ้าอยากให้มันมีสุขภาพดีและมีขนที่สวยงาม ควรใส่ใจในเรื่องอาหารเป็นพิเศษ โดยต้องเพิ่มเมนูเนื้อวัวสดจากอาหารที่กินเป็นประจำ ซึ่งเนื้อสดที่ให้ก็ต้องผ่านการเก็บรักษาด้วยการแช่แข็ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรากับแบคทีเรีย และห้ามให้เนื้อไก่หรือเนื้อหมูโดยเด็ดขาด

          หลังจากที่ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับแมวทั้ง 10 สายพันธุ์ดังกล่าวไปแล้ว หวังว่าจะช่วยให้ผู้สนใจเลี้ยงแมว  สามารถเลือกสายพันธุ์แมวที่ถูกใจ และเหมาะกับไลฟสไตล์ของคุณ ซึ่งหลังจากต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าบ้านแล้ว เจ้าของควรให้ความรักและดูแลมันเป็นอย่างดี เพราะสิ่งมีชีวิตตัวน้อย ๆ เหล่านี้ต้องการความอบอุ่นจากคุณมาก ๆ เลยล่ะค่ะ